งานแต่งงานเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญของใครหลายคน เพราะการแต่งงานนั้นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากวัยเด็ก วัยรุ่นแห่งความคึกคะนอง ไปถึงวัยผู้ใหญ่ที่จะต้องรับผิดชอบครอบครัวด้วยตัวเอง ต้องอยู่ร่วมกับสามี หรือ ภรรยากันไปตลอดชีวิต การแต่งงานไม่ว่าจะเป็นประเพณีไหนมันถึงสำคัญอย่างมาก แต่น่าแปลกที่หลายคนอาจจะไม่ได้เข้าใจความเชื่อเกี่ยวกับงานแต่งงานนั้นจริงๆ อย่างเช่น แหวนแต่งงาน เป็นต้น
เราขอเริ่มจากธรรมเนียมไทยกันก่อน แหวนแต่งงานหมายถึงอะไร คำตอบก็คือ แหวนแต่งงานหมายถึงเครื่องประดับชิ้นหนึ่งที่ฝ่ายเจ้าบ่าวจะเอามาหมั้นเจ้าสาวเอาไว้ก่อน เหมือนเป็นเครื่องยืนยันว่าจะมาแต่งงานแน่นอน และเป็นการตีตราจองให้คนอื่นรู้ว่าสาวคนนี้มีเจ้าของผู้ใหญ่รับรู้ตามประเพณีแล้ว (เมื่อก่อนการแต่งงานต้องแยกเรือนและสร้างบ้านใหม่ จึงต้องหมั้นไว้ก่อนพอเรือนหอเสร็จจึงจัดแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง) โดยแหวนมีข้อดีคือ พกพาสะดวก มองเห็นได้ง่าย แต่การหมั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแหวนแต่งงานเสมอไป อาจจะเป็นสร้อยสังวาลก็ได้ แต่ความสะดวกทำให้เหลือแต่ แหวนอย่างเดียว
ฝั่งตะวันตกเองก็มีความเชื่อเรื่องแหวนแต่งงานด้วยเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปยังสมัยกรุงโรมโน่นเลย ตอนนั้นหากมีการหมั้นหมาย แต่งงาน การสวมแหวนย่อมหมายถึงว่าชายคนนั้นเป็นเจ้าของผู้หญิงคนนั้นโดยสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ การสวมแหวนแต่งงานหมายถึงการครอบครอง ส่วนการเลือกนิ้วนางข้างซ้ายเป็นนิ้วสำหรับสวมแหวนนั้นก็เพราะว่าเส้นเลือดดำของนิ้วนางข้างซ้ายจะเชื่อมถึงหัวใจโดยตรง นัยว่านิ้วนี้เป็นตัวแทนแห่งหัวใจนั่นเอง
แต่แนวคิดเรื่องนิ้วก็มีแบบอื่นด้วย อย่างผู้หญิงในยุโรปบางประเทศเลือกการสวมแหวนแต่งงานด้วยนิ้วชี้ เป็นเพราะนิ้วชี้มีไว้อ่านคัมภีร์จึงถือว่าเป็นนิ้วที่ศักดิ์สิทธิ์เหมาะกับการแต่งงานก็มี
ตัดภาพกลับมาในยุคปัจจุบัน การสวมแหวนแต่งงานไม่ได้มีแต่การมอบจากชายให้หญิงเท่านั้น ยังมีธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ก็คือต่างฝ่ายแลกแหวนไว้ด้วยกัน เรียกว่าแลกแหวนกันใส่ทั้งคู่ โดยแนวคิดนี้หากย้อนไปตามธรรมเนียมไม่มีทั้งสองฝั่งไม่ว่าจะไทย หรือ ต่างประเทศ น่าจะเกิดจากแนวคิดของคนสมัยใหม่ที่อาจจะต้องการแลกเปลี่ยนเพื่อตีตราจองกันและกันไว้มากกว่า อย่าลืมว่า หากไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลยบางทีคนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้โสดหรือไม่ อีกมุมหนึ่งการให้ใส่แหวนเอาไว้จะได้เป็นเครื่องเตือนใจตัวเองว่า มีครอบครัวแล้วจะได้ทำอะไรยับยั้งชั่งใจก็มีเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวิธีคิดของเราว่าเป็นอย่างไร