หากคุณกำลังกังวลคิดไม่ตก ว่าควรจะเริ่มมองหา วิธีเลือกซื้อแหวนแต่งงาน อย่างไรดี ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะเราได้รวบรวมนำเอาขั้นตอนต่างๆ ในการเลือกซื้อแหวนแต่งงาน มาให้คุณและคนรักแล้ว
ภายหลังจากที่คุณและคู่รักได้ผ่านช่วงเวลาอันแสนโรแมนติกและน่าตื่นเต้นของการเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานกันไปเรียบร้อยแล้ว ทางฝ่ายหญิงก็คงอิ่มอกอิ่มใจกับแหวนหมั้นวงสวยที่ได้มา ส่วนฝ่ายชายก็คงโล่งใจ ที่ท้ายที่สุดเราและคู่ก็จะได้ลงเอยกันอย่างมีความสุขซะที แต่เมื่อเอาเข้าจริง การขอแต่งงานและการหมั้นนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการต้องเตรียมความพร้อมสำหรับจัดงานแต่งงานในอีกหลายๆเรื่อง! โดยเฉพาะเรื่อง “แหวนแต่งงาน” นั่นเอง
โดยหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทางคุณและคู่รักจะต้องจัดหามาให้ได้ก่อนวันแต่งงาน นั่นก็คือ วิธีเลือกซื้อแหวนแต่งงานที่เหมาะสมกับทั้งคู่ อันจะเป็นของแทนสัญญารักของเราค่ะ
ด้วยหลายๆคู่ก็คงไม่แน่ใจว่า การซื้อแหวนแต่งงานนั้น จะเริ่มมองหาจากตรงไหนดี เพราะน้อยคนนักที่จะมีประสบการณ์ในด้านนี้มาก่อน แต่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เพราะเราได้รวบรวมนำเอาขั้นตอนต่างๆ ในการเลือกซื้อแหวนแต่งงาน ทำให้คุณสามารถเริ่มต้นมองหาแหวนแต่งงาน และเลือกซื้อแหวนที่เหมาะกับชีวิตคู่ของเราได้จริงๆมาฝากกัน
แต่ก่อนที่จะไปดูขั้นตอนต่างๆนั้น เรามาดูความแตกต่างกันก่อนว่า แหวนหมั้นกับแหวนแต่งงาน มีความแตกต่างกันอย่างไรค่ะ
ถ้าหากจะให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายระหว่างความแตกต่างของแหวน 2 แบบนี้ ก็คงอธิบายได้ว่า
• แหวนหมั้น เป็นแหวนที่ใช้ขอแต่งงานและทำการหมั้นกัน ซึ่งเป็นแหวนที่คุณหรือแฟนจะได้รับก่อนที่จะมีงานแต่งงานเกิดขึ้น
• แหวนแต่งงาน เป็นแหวนที่มีการมอบให้กันระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาวในวันแต่งงาน ซึ่งแหวนแต่งงานที่มาเป็นคู่นี้ ก็มักจะมีลักษณะที่คล้ายๆกัน รวมถึงมักจะเข้าคู่กันได้ดีกับแหวนหมั้น โดยส่วนใหญ่มีลักษณะเรียบๆ
อย่างไรก็ตาม ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ถือเป็นค่านิยมมาจากฝรั่งเมืองนอก สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ มักจะนิยมซื้อแบบ 2-in-1 คือ แหวนหมั้นและแหวนแต่งงานในวงเดียว เพราะฉะนั้นคุณเองก็สามารถออกแบบแหวนแต่งงาน ให้ดูมีสไตล์เป็นของตัวเองแบบไม่ต้องเรียบมากก็ย่อมทำได้ค่ะ
คุณควรเริ่มมองหาแหวนแต่งงาน เป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนล่วงหน้าก่อนงานพิธีนะคะ เพื่อที่คู่บ่าวสาวและผู้จัดงานจะได้เตรียมตัววางแผนแต่งงานล่วงหน้าได้ทันเวลาระหว่างที่รอช่างทำแหวน
แต่ถ้าหากคุณยังคงไม่แน่ใจว่าอยากจะได้ลักษณะแหวนแต่งงานเป็นแบบไหน ก็แนะนำว่า ให้ลองใส่แหวนหมั้นติดนิ้วดูสัก 2-3 เดือน ก่อนที่จะไปติดต่อร้านเพชรเพื่อสั่งทำแหวนเพชร นั่นเป็นเพราะว่าตัวแหวนหมั้นก็มักจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันกับแหวนแต่งงาน เราจะได้มองออกว่าจริงๆแล้ว เราอยากได้แหวนแต่งงานเป็นรูปแบบไหนค่ะ
สิ่งแรกที่คุณควรต้องคำนึงถึงเมื่อคิดจะมองหาแหวนแต่งงานก็คือ การกำหนดงบประมาณที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่จะซื้อแหวนและไม่ทำให้เรากังวลกับงบประมาณจนเกินไปนั่นเอง
แม้การกำหนดงบประมาณซื้อแหวนแต่งงานจะเป็นขั้นตอนที่ไม่โรแมนติกเอาเสียเลย แต่ก็ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากที่จะกำหนดรูปแบบในการเลือกซื้อแหวนแต่งงานที่เหลือค่ะ
โดยคนส่วนใหญ่มักจดจำกฎในการซื้อแหวนแต่งงานว่า ให้ใช้ราคาเทียบได้เท่ากับเงินเดือนของเราขั้นต่ำ 2 เดือนเป็นหลัก แต่อันที่จริงแล้ว กฎข้อนี้ก็ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ของคู่แต่งงานทุกคู่ เพราะแต่ละคู่นั้น ก็มีรายได้และรายจ่ายที่ไม่เท่ากัน รวมถึงมีพฤติกรรมการใช้เงินที่ไม่เท่ากันอีกด้วย
ทางที่ดี ให้ลองคำนวณงบประมาณของแหวน โดยเป็นจำนวนเงินที่คุณสามารถจ่ายคืนได้อย่างง่ายดายภายใน 1 ปี นั่นหมายความว่า ถ้าหากเราจ่ายเงินซื้อแหวนแต่งงานเป็นเงินสดภายใน 1 ปี เราก็สามารถมีรายได้สุทธิที่หักรายจ่ายแล้วคืนทุนให้กับแหวนได้นั่นเองค่ะ เพราะยิ่งสามารถคืนทุนได้เร็วเท่าไหร่ ความเครียดทางการเงินในชีวิตคู่ระยะยาวก็จะลดน้อยลงนั่นเองค่ะ
หรือหากอยากดูวิธีคำนวณงบประมาณของแหวนอย่าละเอียด ก็สามารถเข้ามาดูได้ที่นี่
เมื่อกำหนดงบประมาณได้แล้ว ก็ถึงเวลามาเลือกแบบของแหวนโดยรวมว่าเราอยากจะได้แหวนเป็นแบบไหน ทั้งแหวนแบบเรียบๆ หรือแหวนที่เป็นตัวเรือนชู ซึ่งก็ถือเป็นความชอบส่วนบุคคลมากๆ ให้เลือกตามแบบที่ชอบ ดูเข้ากับบุคลิกของคุณ และรู้สึกว่าใส่ไม่เบื่อ
โดยแบบของแหวนแต่งงานแต่ละแบบก็จะแสดงบุคลิกลักษณะของผู้ใส่ที่แตกต่างกันไป ดังนี้ค่ะ
แหวนเพชรเม็ดเดี่ยว (Solitaire): ถือเป็นแหวนสไตล์คลาสสิคที่ใส่ยังไงก็ดูหรูหราอลังการ โดยมีเพชรเม็ดใหญ่เม็ดเดียว อยู่ตรงกลาง
แหวนเพชรแบบก้าน (Pave): แหวนแต่งงานที่มีเพชรที่ก้านจะช่วยเสริมความโดดเด่นให้แก่เพชรเม็ดกลาง ให้ยิ่งดูระยิบระยับ เหมาะสำหรับ ผู้หญิงสมัยใหม่ที่มีความหรูเริ่ดอยู่ในตัวเอง
แหวนเพชรเรียง 3 เม็ด (Three Stone): โดยจะมีเพชรเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วขนาบข้างด้วยเพชรเม็ดเล็ก 2 เม็ด เป็นการสื่อถึงอดีตปัจจุบันและอนาคตร่วมกันกับคู่รัก เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่มีใจรักความผจญภัยและมีความแข็งแกร่งในตัวเอง
แหวนเพชรวินเทจ (Vintage): แหวนแบบวินเทจนี้มีลวดลายไม่ซ้ำใคร เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีความโรแมนติก แต่ก็อยากเป็นตัวของตัวเอง โดยสามารถ ใช้เพชร ที่มีการเจียระไนแบบสมัยใหม่ ก็จะยิ่งทำให้แหวนเพชรแบบวินเทจนี้ ดูระยิบระยับและโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก
โดยรูปทรงของเพชรนั้น มีอยู่ประมาณ 10 แบบ แต่ละแบบก็จะมีลักษณะที่สามารถแสดงออกถึงบุคลิกของเราได้แตกต่างกันไป สามารถเลือกได้ตามชอบ
ทรงเพชรที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็คงจะไม่พ้น เพชรทรงกลม (Round) ที่มีการเจียระไนออกมาแล้วจะสามารถเล่นแสงวิบวับได้ดีที่สุด
หรือถ้าคุณอยากได้แหวนแต่งงานที่ไม่เหมือนใคร เพชรทรง Emerald ที่เป็นทรงยาวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก็จะทำให้เกิด effect การสะท้อนแสงคล้ายกับกระจกเงา ไม่เหมือนกับการสะท้อนแสงวิบวับของเพชรแบบอึ่นค่ะ
เมื่อได้แบบของแหวนและแบบของเพชรที่ต้องการแล้ว ทีนี้เราก็มาเลือกตัวเพชรสำหรับใส่ในแหวนแต่งงานของเรากันค่ะ
ณ ตรงนี้ก็อยากเน้นย้ำถึงเรื่องงบประมาณที่คุณได้ตั้งไว้ก่อนหน้านี้ โดยการจะเลือกเพชรที่คุ้มค่า และได้คุณภาพดี ก็จะขึ้นอยู่กับหลัก 4Cs of Diamonds นั่นคือ กะรัตของเพชร (Carat), คุณภาพการเจียระไน (Cut), สีของเพชร (Color), และความสะอาดของเพชร (Clarity)
สิ่งแรกที่ควรดูก็คือการเลือกกะรัตของเพชรที่ต้องการ โดยเพชรแต่ละกะรัตก็จะมีราคาแตกต่างกันไป โดยการเลือกขนาดของเม็ดเพชรนี้ ก็จะส่งผลต่อราคามากที่สุด ยิ่งเม็ดใหญ่ก็ยิ่งมีราคาสูงขึ้น แต่ก็ยิ่งทำให้ตัวแหวนของคุณดูโดดเด่นมากขึ้นนั่นเองค่ะ
สิ่งที่จะทำให้เพชรสามารถส่องประกายระยิบระยับอย่างโดดเด่นได้นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งผ่านแสงและสะท้อนแสงออกไปจนเกิดเป็นประกายเจิดจ้า
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความงามเช่นนี้ได้ก็คือคุณภาพการเจียระไนเพชรนั่นเอง ซึ่งถ้าหากทำอย่างได้อย่างมีคุณภาพแล้วล่ะก็ เพชรของคุณก็สามารถจะฉายแสงเจิดจรัสได้ยิ่งกว่าใครๆ
โดยการดูคุณภาพการเจียระไนนั้น ก็ต้องดูให้ลึกไปกว่าแค่รูปทรงของเพชรนะคะ โดยจะต้องดูว่า ตัวเพชรนั้นเล่นกับแสงเงาเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งช่างที่มีฝีมือจะรู้วิธีเจียระไนให้ได้สัดส่วนสมดุลเกิดเป็นแหวนเพชรแวววับ จับทุกคู่สายตา
ปัจจัยที่ต้องดู ก็มีทั้งความสว่างของแสงขาวที่สะท้อนออกมาจากเพชร (Brightness), การกระจายแสงขาวจากเพชรออกไปเป็นแสงสีรุ้งต่างๆ (Fire) และปริมาณแสงระยิบระยับที่เพชรเม็ดหนึ่งสร้างได้
สิ่งนี้อาจดูการยากสำหรับเราในการรู้คุณภาพการเจียระไน ทางที่ดี คุณสามารถตรวจสอบคุณภาพการเจียระไนตรงนี้ได้จาก รายงานคุณภาพของเพชรที่มีใบเซอร์ GIA
และขอแนะนำว่า ไม่ว่าจะเลือกเพชรในงบประมาณใดก็ตาม ให้เลือกคุณภาพการเจียระไนในระดับดีเยี่ยมหรือ Excellent เสมอ จึงจะถือว่าเราได้ซื้อเพชรที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่มีค่ะ
สีของเพชรที่บ่งบอกถึงคุณภาพที่ดีที่สุดนั้น จะเป็นเพชรที่ไร้สีไปเลย นั่นก็คือเพชรที่มีสีใสบริสุทธิ์ ทำให้สามารถสะท้อนแสงได้อย่างดีเยี่ยม
โดยเพชรที่ขาวสะอาดที่สุดนั้น จะเป็นเพชรที่อยู่ในระดับ D Color และไล่ระดับสีไปจนถึงตัวอักษร Z ซึ่งจะมีสีที่ขุ่นกว่า อาจเป็นสีออกเหลืองอ่อนหรือสีออกน้ำตาลอ่อนๆ ซึ่งคุณภาพสีของเพชรนั้นจะมีระบุอยู่ในใบ Certificate ค่ะ
การดูความสะอาดของเพชร คือการดูว่าเพชรของคุณมีตำหนิตรงไหนบ้าง ยิ่งถ้าเป็นเพชรระดับ D Color และไร้ตำหนิเลยนั้น เรียกว่าหายากมากๆ โดยไล่ระดับความสะอาดของเพชรได้ดังนี้ค่ะ
Very Slightly Included (VS1 และ VS2): เห็นรอยตำหนิภายในได้เมื่อสังเกตดีๆ ตอนส่องกล้องแต่ก็ยังถือว่าเล็กน้อย
Included (I1, I2, และ I3): เห็นรอยตำหนิชัดเจนเมื่อส่องกล้อง ทำให้ส่งผลต่อความใสของเพชรและการส่องประกายของเพชรค่ะ
การเลือกวัสดุตัวแบบแหวนที่เหมาะสมและแมทช์กับดีไซน์เพชรทั้งหมดของเรา จะทำให้แหวนมีลุคที่แตกต่างกันออกไป รวมถึงการดูแลรักษาก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิดของวัสดุด้วยค่ะ
โดยคุณสามารถเลือกได้ตามงบประมาณและความชอบดังนี้ค่ะ
Rose Gold: เป็นทองคำ 18k ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่นดูโรแมนติก เกิดจากการนำเอาส่วนผสมของทองเหลืองนวลและทองแดงมาผสมเข้าด้วยกัน จนได้เป็นแร่สีโรสโกลด์ขึ้นมา
ทองคำขาว: เป็นทองคำ 18k เช่นกัน แต่ด้วยตัวเรือนเป็นสีขาวจึงเข้ากับหัวเพชรเป็นอย่างดี โดยมีราคาที่ต่ำกว่าวัสดุแพลตตินั่ม แต่ลักษณะคล้ายกันมาก
แพลตตินั่ม: เป็นหนึ่งในแร่ที่หายากที่สุดในโลก ยากยิ่งกว่าทองคำ โดยมีสีขาวตามธรรมชาติ ไม่ต้องคอยนำไปชุบสี แต่ก็มีราคาที่แพงกว่าวัสดุอื่นๆ เมื่อขายต่อมักไม่ได้ราคา จึงไม่เป็นที่นิยมในไทย
ถ้าหากถึงวันที่คุณต้องเลือกซื้อแหวนแต่งงานกับคู่ชีวิตขึ้นมาจริงๆ ก็อย่าได้กลัวไปเลยค่ะ ตั้งสติให้ดี แล้วจับเข่าคุยกันกับคู่ของคุณว่ามีงบประมาณร่วมกันเท่าไหร่ อยากได้แหวนแบบไหนที่แทนคุณค่าต่อจิตใจของคุณทั้งสองได้มากที่สุด แล้วเดินเข้าไปหาร้านเพชรที่มีคุณภาพ เลือกเพชรที่มีคุณภาพดี ได้มาตรฐาน และอยู่ในงบประมาณ
เพียงเท่านี้ งานแต่งงานของคุณก็จะสมบูรณ์ขึ้นอีกขั้น ด้วยแหวนที่แทนสัญญารักของคนทั้งสองนั่นเองค่ะ